นโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการทำประกันภัย

บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จํากัด (มหาชน) (“บริษัท”) ได้จัดทำนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการทำประกันภัยฉบับนี้ (“นโยบาย”) เพื่อแจ้งให้ (1) ผู้สมัครเอาประกันภัย (2) ผู้รับผลประโยชน์ และ (3) คู่กรณีภายใต้กรมธรรม์ (เรียกรวมกัน ทุกกลุ่มว่า “ผู้เอาประกัน”) ที่บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดทราบเกี่ยวกับความจำเป็นของบริษัท และเงื่อนไขรายละเอียดการเก็บ รวบรวม ใช้ จัดเก็บ ส่งต่อ และการบริหารจัดการข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้กรอบกฎหมายและกรอบเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่บริษัทอาจจัดทำขึ้นกับผู้เอาประกันที่เกี่ยวข้อง

เมื่อท่านสมัครเอาประกันภัยกับทางบริษัทและไม่ว่าท่านจะได้รับการพิจารณาออกกรมธรรม์ให้หรือไม่ และ/หรือเมื่อท่านติดต่อมายังบริษัทเพื่อดำเนินการใดๆเกี่ยวเนื่องกับประกันภัยที่ได้ออกภายใต้ชื่อของบริษัทบริษัทจะถือว่าท่านยอมรับและรับทราบนโยบายฉบับนี้ ทั้งนี้ หากผู้เอาประกันภัยไม่ตกลงตามเงื่อนไขของนโยบายฉบับนี้ หรือฉบับแก้ไขอื่นๆ บริษัทสงวนสิทธิ์์ที่จะไม่อนุญาตหรือปฏิเสธคำขอสมัครเอาประกัน หรือการติดต่อมาเพื่อขอรับผลประโยชน์ทดแทนภายใต้กรมธรรม์ใดๆ ของผู้เอาประกันภัยดังกล่าวได้ เนื่องจากการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่ระบุไว้ภายใต้นโยบายฉบับนี้มีความจำเป็นต่อการปฏิบัติตามหน้าที่ของบริษัทในการให้บริการ โดยเฉพาะการให้การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะที่บริษัทเป็นผู้ให้การประกันภัย การปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองชดเชยสินไหมทดแทนต่างๆ ภายใต้กรมธรรม์แก่ ผู้เอาประกันภัย ผู้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย และเพื่อการคุ้มครองสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของบริษัทภายใต้การให้ประกันและกรมธรรม์ดังกล่าว ทั้งนี้ การที่ผู้เอาประกันภัยยังคงมีกรมธรรม์ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่กับบริษัท บริษัทจะถือว่าผู้เอาประกันภัยดังกล่าวยอมรับนโยบายฉบับนี้เสมอ

เพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัย “ผู้เอาประกันภัย” ของบริษัท หมายความรวมถึง ผู้เอาประกันภัย ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัย สมาชิก ผู้เอาประกันภัยทุกประเภทที่บริษัทให้บริการ ได้แก่ (1) การประกันภัยรถยนต์ (Motor) (2) การประกัน Non-Motor ซึ่งได้แก่ ประกันภัยสุขภาพ/อุบัติเหตุ/เดินทาง ประกันภัยทรัพย์สิน ประกันภัยเบ็ดเตล็ด ประกันภัยทางทะเล และประกันภัยวิศวกรรม เป็นต้น และสำหรับแต่ละประเภทประกัน บริษัทอาจกำหนดเงื่อนไขการให้การคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ที่แตกต่างกันแล้วแต่ประเภทของประกัน ดังนั้น บริษัทอาจมีความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันที่อาจแตกต่างกันในแต่ละประเภทของประกันภัย

ทั้งนี้ นโยบายฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ในการกำหนดกรอบภาพรวมในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันโดยบริษัท และในกรณีมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเฉพาะประกันบางประเภทที่อาจแตกต่างเป็นการเฉพาะเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในนโยบายฉบับนี้ บริษัทจะแจ้งการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นกรณีเฉพาะดังกล่าวไว้ในเงื่อนไขกรมธรรม์ประเภทเฉพาะดังกล่าว

นโยบายฉบับนี้มีผลใช้บังคับกับการให้การคุ้มครองประกันภัยของบริษัทโดยตรงเท่านั้น โดยไม่มีผลใช้บังคับกับแพลตฟอร์ม เว็บไซต์ และบริการอื่นๆ ของบุคคลภายนอกที่อาจเชื่อมต่อกับเว็บไซต์หรือการให้บริการหลักของบริษัท ซึ่งบริษัทไม่มีอำนาจควบคุมและเป็นส่วนที่ผู้เอาประกันภัยต้องทำความตกลงและศึกษาเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับการใช้เว็บไซต์และบริการดังกล่าวแยกต่างหาก

อนึ่ง หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ภายใต้นโยบายฉบับนี้ บริษัทจะประกาศอย่างชัดแจ้งให้ท่านผู้เอาประกันภัยทั้งหมดทราบถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวผ่านช่องทางการติดต่อต่างๆ ของบริษัทและให้ถือว่ามีผลบังคับใช้ทันทีที่มีการประกาศ

1. แหล่งที่มาของข้อมูลที่บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผู้เอาประกันภัย

โดยหลัก บริษัทจะได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของท่านผู้เอาประกันภัยจากแหล่งที่มา ได้แก่

  • ได้รับข้อมูลโดยตรงมาจากผู้เอาประกันภัย ที่สมัครเอาประกันผ่านช่องทางที่บริษัทกำหนด รวมถึงการให้ข้อมูลเพิ่มเติมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแก่บริษัท ระหว่างขั้นตอนการติดต่อและการทำกรมธรรม์ รวมถึงข้อมูลที่นำส่งเพื่อประโยชน์ในการเรียกค่าสินไหมทดแทนอื่นๆ ที่บริษัทอาจได้รับโดยตรงจากท่านผู้เอาประกันผ่านรูปแบบการติดต่อต่างๆ
  • ได้รับข้อมูลจากนายหน้าหรือตัวแทนประกันภัย หรือพันธมิตรทางธุรกิจของบริษัทที่ผู้เอาประกันอาจติดต่อและประสานงานเพื่อการสมัครเอาประกันภัยกับบริษัท
  • บุคคลอื่นที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกัน (รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง บริษัทต้นสังกัดของผู้เอาประกันที่สมัครเอาประกันให้แก่พนักงานในสังกัด ผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เอาประกันที่เป็นผู้เยาว์ คู่สมรสของผู้เอาประกัน หรือบริษัทผู้ขายสินค้าที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ซื้อสินค้าเป็นกรมธรรม์ที่ออกโดยบริษัท เป็นต้น) ซึ่งหากเป็นกรณีดังกล่าว เมื่อบุคคลเหล่านั้นให้ข้อมูลแก่บริษัท บริษัทจะถือว่า บุคคลดังกล่าวรับประกันแก่บริษัทแล้วว่า ตนได้รับสิทธิหรือความยินยอมมาจากผู้เอาประกันซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลโดยถูกต้องครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ บริษัทมีสิทธิ (แต่ไม่เป็นภาระหน้าที่) ในการตรวจสอบความถูกต้องของสิทธิการเปิดเผยดังกล่าว
  • แหล่งข้อมูลสาธารณะภายใต้การคุ้มครองดูแลของหน่วยงานราชการ หรือผู้ให้บริการฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งบริษัทอาจดำเนินการส่งต่อหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันให้แก่หน่วยงานดังกล่าวเพื่อดำเนินกระบวนการตรวจสอบ เพื่อการยืนยันตัวตนและการประเมินความเสี่ยงต่างๆ ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภายใต้กรอบกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กฎหมายการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และกฎหมายการประกันวินาศภัย เป็นต้น
  • ผู้ให้บริการภายนอกที่บริษัทอาจว่าจ้าง เพื่อดำเนินกระบวนการต่างๆ ที่จำเป็นในการติดต่อประสานงานกับผู้เอาประกันภัย การประเมินการคุ้มครองการคำนวณค่าสินไหมทดแทนต่างๆ เช่น ผู้ให้บริการสำรวจความเสียหายหรือสำรวจทรัพย์สิน (Surveyor) รวมถึงผู้ให้บริการที่ผู้เอาประกันอาจติดต่อ เพื่อใช้บริการและมีจุดประสงค์จะเรียกค่าสินไหมทดแทนคืน เช่น สถานพยาบาล หรืออู่ซ่อมรถยนต์ เป็นต้น

2. รายละเอียดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันที่ติดต่อบริษัท

ในกรณีที่ผู้สมัครเอาประกันติดต่อสอบถามข้อมูลเข้ามายังบริษัทผ่านช่องทางการติดต่อต่างๆ เช่น ทางโทรศัพท์ ทางช่องทาง Social Media หรือเว็บไซต์ของบริษัท บริษัทย่อมมีความจำเป็นต้องเก็บ รวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันที่ติดต่อ ได้แก่ ข้อมูลชื่อนามสกุล ข้อมูลการติดต่อ และข้อมูลอื่นที่ผู้สมัครเอาประกันอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติม

บริษัทจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อประโยชน์ในการติดต่อกลับพร้อมกับการตอบคำขอความช่วยเหลือของผู้สมัครเอาประกัน โดยบริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้ตราบเท่าที่จำเป็นเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว ทั้งนี้ หากผู้สมัคร

เอาประกันให้ความยินยอมแก่บริษัทในการติดต่อกลับเพื่อการประชาสัมพันธ์อื่นๆ บริษัทจะใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันเพื่อประโยชน์การประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมนั้นจนกว่าผู้สมัครเอาประกันนั้นจะถอนความยินยอมดังกล่าว

นอกจากนี้ เพื่อรับประกันคุณภาพการให้บริการของบริษัทผ่านช่องทางต่างๆ และเพื่อการบริหารจัดการกรณีเกิด ข้อร้องเรียนหรือข้อโต้แย้งที่อาจมีระหว่างบริษัทและผู้สมัครเอาประกันระหว่างการให้บริการ บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บ รวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกัน ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลบันทึกเสียง และข้อมูล Social Media Account รวมถึงบทสนทนาต่างๆ ที่อาจมีกับบริษัท ไว้เป็นระยะเวลา 1 ปี

3. รายละเอียดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกัน ในกระบวนการสมัครเอาประกันและการจัดทำผลิตกรมธรรม์รวมถึงการสลักหลังแก้ไขกรมธรรม์ดังกล่าว

ในขั้นตอนการพิจารณารับประกันและผลิตกรมธรรม์ให้แก่ผู้สมัครเอาประกัน บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บ รวบรวม ใช้ และอาจต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ดังต่อไปนี้

  • ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผู้สมัครเอาประกันภัย ได้แก่ ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ และเพศของผู้สมัครเอาประกันบุคคลธรรมดา และข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวของกรรมการผู้มีอำนาจหรือตัวแทนของผู้สมัครเอาประกันที่เป็นนิติบุคคล (“ตัวแทนของผู้สมัครเอาประกันนิติบุคคล”)
  • ข้อมูลการติดต่อ ได้แก่ ที่อยู่อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ และที่อยู่ปัจจุบัน
  • ข้อมูลเอกสารแสดงตนของผู้สมัครเอาประกันบุคคลธรรมดา หรือของตัวแทนของผู้สมัครเอาประกันนิติบุคคล ได้แก่ ข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชน หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ และสำเนาบัตรของเอกสารแสดงตนดังกล่าว
  • รายละเอียดข้อมูล และเอกสารที่เกี่ยวข้องทางทะเบียนของทรัพย์สินที่ผู้สมัครเอาประกันภัยจะเอาประกัน ซึ่งอาจรวมข้อมูลที่อาจสามารถระบุตัวตนของผู้สมัครเอาประกันภัย ซึ่งเป็นเจ้าของข้อมูลได้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เช่น สมุดทะเบียนรถยนต์ ทะเบียนบ้าน หรือทะเบียนทรัพย์สินต่างๆ เป็นต้น
  • ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว ในกรณีที่ได้รับความยินยอมจากผู้สมัครเอาประกันภัย ได้แก่ ข้อมูลสุขภาพ สถานะภาพความพิการ ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ ประวัติอาญชากรรม ของผู้สมัครเอาประกัน ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่บริษัทได้รับโดยตรงจากผู้สมัครเอาประกันในแบบถ้อยแถลงในใบสมัครเอาประกันภัย หรืออาจเป็นข้อมูลที่บริษัทอาจได้รับจากแหล่งข้อมูลอื่นที่น่าเชื่อถือ เช่น หน่วยงานราชการ หรือสถานพยาบาลที่ผู้สมัครเอาประกันได้ระบุหรือแจ้งให้บริษัททราบ เป็นต้น
    ทั้งนี้ สำหรับข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวดังกล่าวนี้ บริษัทขอแจ้งให้ผู้สมัครเอาประกันภัยทราบว่า การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเกี่ยวข้องโดยตรงสำหรับการเข้าทำสัญญาประกันภัย รวมถึงการกำหนดเงื่อนไขการให้การคุ้มครองสินไหมทดแทนภายใต้กรมธรรม์ ดังนั้น หากผู้สมัครเอาประกันไม่ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวดังกล่าว บริษัทอาจสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธให้การประกันภัยหรือให้การคุ้มครองแก่ผู้สมัครเอาประกันดังกล่าว
  • ผลการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันกับฐานข้อมูล ผู้มีความเสี่ยงด้านการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินหรือการสนับสนุนการก่อการร้าย หรือฐานข้อมูลความเสี่ยงตามกฎหมายอื่นๆ ที่บริษัทมีหน้าที่ต้องตรวจสอบและสอบทานข้อมูลของท่านภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  • ข้อมูลการชำระเงิน ซึ่งรวมถึงข้อมูลบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือเช็ค พร้อมทั้งข้อมูลเอกสารหลักฐานยืนยันการชำระเงินที่อาจรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันภัยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
  • รายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการที่ท่านระบุว่าสนใจ หรือ ได้ซื้อกับบริษัท หรือ บริษัทประกันภัยอื่น เช่น ประเภทของกรมธรรม์ประกันภัย หมายเลขกรมธรรม์ จำนวนเงินค่าเบี้ยประกันภัย วงเงินคุ้มครองตามกรมธรรม์ รายละเอียดการชำระเงิน วิธีการชำระเงิน และประวัติการชำระเงิน
  • คุกกี้ (Cookies) หรือไฟล์คอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านในเครื่องคอมพิวเตอร์ของท่าน

ข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่บริษัทได้รับในระหว่างการเอาประกันภัยนี้จะถูกเก็บ รวบรวม และใช้ บนพื้นฐานที่จำเป็นภายใต้วัตถุประสงค์หลัก ดังนี้

  • เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายในฐานะสถาบันการเงินภายใต้กำกับกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนการเงินแก่การก่อการร้ายและแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง รวมทั้งกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแลของบริษัท ซึ่งได้แก่แต่ไม่จำกัดเพียงสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในการตรวจสอบยืนยันตัวตนและประเมินความเสี่ยงภายใต้กรอบกฎหมายของผู้สมัครเอาประกัน ก่อนเริ่มต้นดำเนินธุรกรรมใดๆ กับผู้สมัครเอาประกันภัยดังกล่าว และเพื่อการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมายที่บริษัทมีดังกล่าว บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันภัย ภายใต้จุดประสงค์ดังกล่าวที่ระบุไว้ โดยในกรณีนี้ บริษัทย่อมมีความจำเป็นต้องเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวไว้เป็นระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
    นอกจากนี้ บริษัทยังมีหน้าที่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยบัญชีและประมวลรัษฎากรในการจัดทำบัญชีและเก็บหลักฐานการชำระเงินต่างๆ ที่เกิดขึ้น และเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวบริษัทย่อมมีความจำเป็นในการเก็บ รวบรวม และเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันที่ชำระค่าเบี้ยประกันภายใต้กรมธรรม์ต่างๆ ไว้ตามกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้
  • เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัย บริษัทมีวัตถุประสงค์ความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
  1. เพื่อการพิจารณาและประเมินคุณสมบัติของผู้สมัครเอาประกันที่สมัครเอาประกันของบริษัท โดยอ้างอิงพิจารณาตามเงื่อนไขการรับประกันที่บริษัทอาจกำหนดขึ้นด้วยดุลพินิจฝ่ายเดียวของบริษัท เพื่อพิจารณาว่าจะให้การประกันแก่ผู้สมัครเอาประกันนั้นหรือไม่ และเพื่อกำหนดเงื่อนไขและข้อกำหนดเฉพาะในกรมธรรม์ประกันภัยของผู้สมัครเอาประกัน โดยบริษัทอาจดำเนินการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันด้วยตนเอง หรืออาจมีการส่งต่อเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัยไปเพื่อการยืนยันกับแหล่งข้อมูลต่างๆ
  2. เพื่อการผลิตและจัดส่งกรมธรรม์ตามเงื่อนไขที่บริษัทและผู้สมัครเอาประกันอาจตกลงกัน และอาจรวมถึงการสลักหลังแก้ไขกรมธรรม์ตามที่ผู้สมัครเอาประกันอาจแจ้งแก้ไขมายังบริษัท
  3. เพื่อการติดตามทวงถามและแจ้งเตือนการจัดเก็บเบี้ยประกันภัยที่บริษัทมีสิทธิภายใต้กรมธรรม์ และในกรณีที่ผู้สมัครเอาประกันผิดนัดชำระค่าเบี้ยประกันภัย บริษัทสงวนสิทธิ์์ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันดังกล่าว เพื่อการดำเนินคดีหรือการเรียกร้องทางกฎหมายที่บริษัทอาจมีต่อผู้สมัครเอาประกันเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมและจำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
  4. เพื่อการติดตามและติดต่อผู้สมัครเอาประกัน ระหว่างระยะเวลากรมธรรม์ประกันภัย เพื่อแจ้งเตือนเมื่อใกล้ครบระยะเวลาการประกันภัย หรือเพื่อการให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากการสอบถามข้อมูลหรือการขอความสนับสนุนต่างๆ จากบริษัท

4. รายละเอียดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลในการเรียกค่าสินไหมทดแทนระหว่างผู้เอาประกันภัยและบริษัท

ในกรณีที่ท่านผู้สมัครเอาประกันเรียกค่าสินไหมทดแทนภายใต้สัญญากรมธรรม์ บริษัทย่อมมีความจำเป็นต้องเก็บ รวบรวม ใช้และเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันดังกล่าว ทั้งในส่วนข้อมูลส่วนบุคคลเดิมที่ผู้สมัครเอาประกันได้ให้ไว้ภายใต้กระบวนการสมัครเอาประกันและการจัดทำกรมธรรม์ตามข้อ 3 รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เช่น ข้อมูลรายละเอียดการเรียกร้องสินไหมทดแทนที่ท่านอาจเรียกร้อง เช่น รายละเอียดความเสียหาย ใบเสร็จค่าซ่อมรถยนต์ ใบเรียกเก็บเงินการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจต้องนำส่งพร้อมกับใบรับรองแพทย์ และเอกสารประกอบอื่นๆ ที่บริษัทกำหนดเป็นเงื่อนไขที่ผู้สมัครเอาประกัน ต้องส่งมอบเพื่อการเรียกค่าสินไหมทดแทนประกันแต่ละชนิด เป็นต้น

ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวนั้น (ก) บริษัทอาจได้รับโดยตรง จากผู้สมัครเอาประกัน หรือ (ข) อาจได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลอื่นๆ เช่น โรงพยาบาลหรือผู้ให้บริการในการสำรวจตรวจสอบและประเมินทรัพย์สิน หรืออู่ซ่อมหรือ ผู้ให้บริการซ่อมแซม เป็นต้น

สำหรับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวประเภทข้อมูลสุขภาพตามใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองแพทย์ต่างๆ บริษัทจะขอความยินยอมจากผู้สมัครเอาประกันก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทขอแจ้งให้ผู้สมัครเอาประกันภัยทราบว่า การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่งและเกี่ยวข้องโดยตรงสำหรับการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์ให้แก่ผู้สมัครเอาประกัน ดังนั้น หากผู้สมัครเอาประกันไม่ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวดังกล่าว บริษัทอาจสงวนสิทธิ์ในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามการเรียกร้อง ให้แก่ผู้สมัครเอาประกันดังกล่าว

ข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่บริษัทได้รับในระหว่างการดำเนินการเรียกค่าสินไหมทดแทนชดเชยต่างๆ ระหว่างผู้สมัครเอาประกันและบริษัทจะถูกเก็บ รวบรวม ใช้บนพื้นฐานที่จำเป็นภายใต้วัตถุประสงค์หลัก ดังนี้

  • เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย (ก) ในกรณีการจ่ายค่าสินไหมทดแทน บริษัทจำเป็นต้องจัดทำเอกสารบัญชีซึ่งบริษัทย่อมมีหน้าที่ภายใต้กฎหมายบัญชีและภาษีในการรวบรวมเอกสารการจ่ายค่าสินไหมทั้งหมดของบริษัท เพื่อนำส่งจัดทำบัญชีและการจัดการภาษีดังกล่าว (ข) ในบางกรณีที่อาจมีธุรกรรมเงินสดหรือธุรกรรมที่น่าสงสัยเพิ่มเติม บริษัทในฐานะสถาบันการเงินผู้มีหน้าที่ต้องรายงานภายใต้กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนการเงินแก่การก่อการร้ายและแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันในกรณีดังกล่าว และ (ค) ในฐานะบริษัทประกันภัย บริษัทย่อมมีหน้าที่ภายใต้กฎหมายและการกำกับดูแลของคปภ. ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ซึ่งอาจรวมถึงการรายงานข้อมูลซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันซึ่งในกรณีดังกล่าวทั้งหมดบริษัทย่อมมีความจำเป็นภายใต้หน้าที่ตามกฎหมายในการเก็บรักษาและใช้ข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทอาจได้รับ และเก็บรวบรวมไว้ตลอดระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด
  • เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญากรมธรรม์ บริษัทย่อมมีหน้าที่ตามกรมธรรม์ที่จัดทำขึ้นระหว่างบริษัท และผู้สมัครเอาประกันในการคุ้มครอง และจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้สมัครเอาประกันที่เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท เพื่อการดำเนินการดังกล่าวบริษัทย่อมมีความจำเป็นต้องพิจารณาข้อมูลการเรียกร้องค่าสินไหมที่ผู้สมัครเอาประกันจัดส่งมา ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันดังกล่าว ด้วยจุดประสงค์ในการประเมินยืนยันสิทธิของผู้สมัครเอาประกัน ในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดของกรมธรรม์ และการเบิกชำระค่าสินไหมทดแทนตามที่เรียกร้องให้แก่ผู้สมัครเอาประกันภัย 
    ในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามกรมธรรม์นั้น บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บรักษาและประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันตลอดระยะเวลาการคุ้มครองกรมธรรม์ที่ผู้สมัครเอาประกันอาจมีกับบริษัท
  • เพื่อการปกป้องประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท โดยไม่กระทบสิทธิของท่านผู้เอาประกันในฐานะเจ้าของข้อมูล บริษัทมีความจำเป็นในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันภัยเพิ่มเติมนอกเหนือจากการให้บริการภายใต้กรมธรรม์โดยตรง ในกรณีดังต่อไปนี้
  1. เพื่อเตรียมการปกป้องสิทธิที่บริษัทอาจมีภายใต้กฎหมายในขั้นตอนการดำเนินคดีเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยจากและแทนผู้สมัครเอาประกัน สำหรับค่าสินไหมทดแทนที่บริษัทอาจจ่ายให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในกรณีการรับช่วงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว บริษัทย่อมมีความจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกัน และเพื่อจุดประสงค์ที่ระบุดังกล่าว บริษัทสงวนสิทธิ์ในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันนไว้เป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปีหรือเป็นระยะเวลาเท่าที่จำเป็นตามความเหมาะสม เพื่อให้บริษัทสามารถดำเนินการปกป้องต่อสู้สิทธิดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. เพื่อการวางแผนการปรับปรุงสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการของบริษัทให้เหมาะสมและตรงกับความต้องการของผู้สมัครเอาประกันภัยทั่วไปได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. เพื่อการปรับปรุงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างท่านผู้สมัครเอาประกันภัย และบริษัทผ่านการฝึกอบรมพนักงาน และการสอบถามความพึงพอใจของผู้สมัครเอาประกันภัย
  4. เพื่อการติดตามและแก้ไขกรณีมีข้อร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆ หรือการป้องกันการทุจริตต่างๆ ในระบบการให้บริการประกันภัยของบริษัท
  • เมื่อได้รับความยินยอม บริษัทอาจประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกัน (ก) เพื่อการทำการตลาดและสื่อสารประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น และข่าวสารอื่นๆ ที่ผู้สมัครเอาประกันอาจให้ความสนใจหรือ (ข) เพื่อการ ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ ที่ผู้สมัครเอาประกันให้ความยินยอมเป็นการเฉพาะ
    ทั้งนี้ กรณีการขอความยินยอมของผู้สมัครเอาประกันภัยที่เป็นผู้เยาว์ บริษัทจะดำเนินการขอความยินยอมดังกล่าวโดยถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะจะรับประกันการได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองหรือผู้แทนโดยชอบธรรม

5. การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันภัย

บริษัทรับประกันว่าจะไม่เปิดเผยหรือส่งต่อข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ ของผู้สมัครเอาประกันภัยให้แก่บุคคลอื่น เว้นแต่การส่งต่อเปิดเผยให้แก่บุคคล ดังต่อไปนี้

  • ต้นสังกัดหรือบุคคลอื่นผู้ซื้อประกันให้แก่ผู้สมัครเอาประกันหรือผู้รับผลประโยชน์ที่ได้ระบุไว้ภายใต้กรมธรรม์ (ก) สำหรับกรณีที่ต้นสังกัดหรือบุคคลอื่นซื้อประกันให้แทนผู้สมัครเอาประกัน เช่น กรณีประกันกลุ่มให้แก่พนักงานในบริษัท หรือกรณีที่เจ้าของสินค้าหรือบริการที่ซื้อประกันภัยให้แก่ลูกค้าหรือผู้มาใช้บริการ เป็นต้น บริษัทอาจมีความจำเป็นภายใต้สัญญาระหว่างบริษัทและต้นสังกัดหรือบุคคลดังกล่าวต้องแจ้งรายละเอียดการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้สมัครเอาประกันในฐานะพนักงานหรือลูกค้าใช้ให้ต้นสังกัดหรือผู้ซื้อประกันดังกล่าวทราบ และ (ข) กรณีที่บริษัทต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขกรมธรรม์ให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันย่อมจะถูกเปิดเผยและส่งต่อให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ดังกล่าว เพื่ออ้างอิงในการรับสิทธิต่างๆ ที่ตนอาจมีภายใต้กรมธรรม์นั้น อย่างไรก็ตาม การดำเนินการส่งต่อและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวจะดำเนินการภายใต้ข้อจำกัดสิทธิของผู้เข้าถึงข้อมูลดังกล่าวบนพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับแต่ละกลุ่ม (Need to Know Basis) เท่านั้น
  • ผู้ให้บริการบุคคลภายนอกของบริษัท ในบางส่วนของการให้บริการภายใต้กรมธรรม์ บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องว่าจ้างและ/หรือลงนามทำสัญญากับผู้ให้บริการบุคคลภายนอก เพื่อการดำเนินการต่างๆ ที่อาจมีความเกี่ยวเนื่องโดยตรงในส่วนของการให้บริการประกันภัยแก่ผู้สมัครเอาประกัน ได้แก่แต่ไม่จำกัดเพียง ผู้ให้บริการระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ ผู้ให้บริการการชำระเงิน ผู้ตรวจสอบบัญชี ผู้รับประกันภัยต่อ และอาจรวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียงบริษัทหุ้นส่วนทางธุรกิจ ที่ปรึกษาเฉพาะทางด้านการเงิน กฎหมาย ภาษี การกำกับดูแล การวิเคราะห์ การค้นคว้าวิจัย หรือบริการอื่นๆ ผู้ให้บริการประสานงานการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เช่น IPA ผู้ให้บริการซ่อมบำรุง ผู้ให้บริการสำรวจความเสียหายและสภาพทรัพย์สิน ผู้ให้บริการขนส่ง รวมถึงผู้ให้บริการรักษาพยาบาล โดยผู้ให้บริการภายนอกบางส่วนอาจจดทะเบียนจัดตั้งและดำเนินการประกอบกิจการอยู่ในประเทศไทยหรือนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทจะกำหนดมาตรการในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันที่มีการเปิดเผยดังกล่าวอย่างเหมาะสม ด้วยการจัดทำสัญญาการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่จำกัดขอบเขตจุดประสงค์การเปิดเผย และเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลส่วนบุคคล บนพื้นฐานที่จำเป็นอย่างเหมาะสม
  • หน่วยงานราชการหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่บริษัทอาจมีหน้าที่ภายใต้กฎหมาย กฎระเบียบ หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกำหนด รวมถึงคำสั่งของหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย กรมสรรพากร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เป็นต้น
  • เมื่อได้รับความยินยอมเฉพาะ บริษัทอาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครเอาประกันให้แก่บุคคลอื่นที่ผู้สมัครเอาประกันอาจกำหนดให้ความยินยอม

6. การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับผลประโยชน์

บริษัทอาจได้รับข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะข้อมูลเอกสารการยืนยันตัวตน และข้อมูลการติดต่อของผู้รับผลประโยชน์จากผู้สมัครเอาประกันซึ่งระบุรายละเอียดดังกล่าวให้แก่บริษัท ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้สมัครเอาประกันส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่บริษัท บริษัทจะถือว่าท่านผู้รับผลประโยชน์ในฐานะเจ้าของข้อมูลได้ให้สิทธิอันชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้สมัครเอาประกันในการส่งต่อและเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว

ทั้งนี้ บริษัทมีจุดประสงค์แจ้งความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับผลประโยชน์ที่อาจได้รับจากผู้สมัครเอาประกันดังกล่าวโดยเฉพาะ

  • เพื่อการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย ในการเก็บข้อมูลและรายละเอียดการชำะค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับผลประโยชน์ บริษัทมีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับผลประโยชน์เพื่อการจัดทำเอกสารบัญชีและภาษีตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
  • เพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา บริษัทในฐานะบริษัทประกันภัยมีหน้าที่โดยตรงต่อผู้รับผลประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของบริษัท บริษัทจำเป็นต้องใช้ข้อมูลของผู้รับผลประโยชน์ในการยืนยันตัวตนในการรับผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการติดต่อประสานงานเพื่อการใช้สิทธิของผู้รับผลประโยชน์ ทั้งนี้ บริษัทย่อมมีความจำเป็นเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวไว้ตลอดระยะเวลากรมธรรม์ และ
  • เพื่อการปกป้องสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ ทีบริษัทอาจมีต่อผู้รับผลประโยชน์ในกระบวนการฟ้องร้องหรือต่อสู้สิทธิต่างๆ หรือการป้องกันกรณีการฉ้อฉลต่างๆในระบบการบริการประกัน ซึ่งบริษัทสงวนสิทธิ์ดำเนินการประมวลผลและเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของผู้รับผลประโยชน์ไว้ตลอดระยะเวลาที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ข้างต้นโดยเฉพาะตลอดระยะเวลาอายุความกรณีเกิดข้อร้องเรียนระหว่างกัน

7. การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีของผู้เอาประกัน

ในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยของบริษัทอาจมีคู่กรณีที่จำเป็นต้องติดต่อ เพื่อการเรียกร้องหรือเพื่อการชดเชยค่าสินไหมทดแทนจากหรือให้แก่คู่กรณีดังกล่าว บริษัทย่อมมีความจำเป็นในการเก็บ รวบรวม และใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีดังกล่าว ทั้งข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป เช่น ข้อมูลชื่อนามสกุล หลักฐานการยืนยันตัวตน และข้อมูลการติดต่อ รวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนระหว่างกัน ซึ่งอาจรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวโดยเฉพาะข้อมูลสุขภาพ การรักษาพยาบาลต่างๆ เป็นต้น

ทั้งนี้สำหรับกรณีข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว บริษัทจะขอความยินยอมจากคู่กรณีในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องก่อน อย่างไรก็ตาม บริษัทขอแจ้งให้คู่กรณีทราบว่า การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และเกี่ยวข้องโดยตรงสำหรับการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนภายใต้เงื่อนไขกรมธรรม์ให้แก่คู่กรณี ดังนั้น หากคู่กรณีไม่ให้ความยินยอมแก่บริษัทในการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหวดังกล่าว บริษัทอาจสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามการเรียกร้องให้แก่ท่าน

ทั้งนี้ บริษัทมีความจำเป็นในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีโดยเฉพาะ

  • เพื่อการปฏิบัติตามหน้าที่ตามกฎหมาย ในกรณีที่บริษัทชำะค่าสินไหมทดแทนให้แก่คู่กรณี บริษัทมีหน้าที่ภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีไว้เพื่อการจัดทำเอกสารบัญชีและภาษีตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้
  • เพื่อการปกป้องคุ้มครองสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท (ก) บริษัทย่อมมีความจำเป็นในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีทั้งหมดเพื่อการยืนยันตัวตนและการพิจารณาประเมินค่าสินไหมทดแทนที่ต้องมีการชดเชยให้แก่คู่กรณี (ข) ในกรณีการเตรียมการต่อสู้การใช้สิทธิของคู่กรณีในการเรียกให้ชดเชยค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนจากบริษัท บริษัทมีความจำเป็นใช้ข้อมูลของคู่กรณีในการต่อสู้เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในส่วนของจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนที่คู่กรณีอาจเรียกร้องและ (ค) เมื่อบริษัทรับช่วงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายจากผู้สมัครเอาประกันในการบังคับใช้สิทธิเรียกร้องต่อคู่กรณี บริษัทย่อมมีความจำเป็นประมวลผลและเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของคู่กรณีไว้เพื่อจุดประสงค์การปกป้องสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของบริษัททั้งหมด ซึ่งสำหรับการเก็บรักษาข้อมูลเพื่อการปกป้องคุ้มครองและใช้สิทธิอันชอบด้วยกฎหมายนี้ บริษัทสงวนสิทธิ์เก็บข้อมูลของคู่กรณีได้ตลอดระยะเวลาอายุความที่เกี่ยวข้อง

8. มาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

การปกป้องความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัท ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดแนวปฏิบัติภายในเพื่อกำหนดสิทธิในการเข้าถึงหรือการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อรักษาความลับและความปลอดภัยของข้อมูล โดยบริษัทได้ประกาศกำหนดออกนโยบายการคุ้มครองความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลทางเทคโนโลยีไว้เป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ บริษัทจะจัดให้มีการทบทวนมาตรการดังกล่าวเป็นระยะเพื่อความเหมาะสมตามมาตรฐานในอุตสาหกรรมและให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

9. สิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูล

บริษัทรับทราบและเคารพสิทธิตามกฎหมายของผู้เอาประกันทุกกลุ่ม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันที่อยู่ในการควบคุมของบริษัท โดยบริษัทตกลงและรับประกันว่า ผู้เอาประกันสามารถใช้สิทธิต่างๆ ที่มีภายใต้กฎหมายได้ดังต่อไปนี้

  • สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงสิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นปัจจุบันและถูกต้อง เว้นแต่เป็นกรณีที่บริษัทอาจอยู่ภายใต้ข้อจำกัดภายใต้กฎหมายในการเปิดเผยหรือมอบสำเนาข้อมูลดังกล่าวให้แก่ผู้เอาประกันได้
  • สิทธิขอรับข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่บริษัททำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เอาประกันนั้นอยู่ในรูปแบบที่สามารถอ่านหรือใช้งานโดยทั่วไปด้วยเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ทำงานได้โดยอัตโนมัติ รวมถึงสิทธิขอให้ส่งหรือโอนข้อมูลรูปแบบดังกล่าวไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่น
  • สิทธิคัดค้านการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
  • สิทธิขอให้ลบหรือทำลายหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ เมื่อข้อมูลนั้นหมดความจำเป็นหรือเมื่อผู้เอาประกันที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลถอนความยินยอม
  • สิทธิในการขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ในกรณีเมื่อเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องลบ หรือเมื่อข้อมูลดังกล่าวหมดความจำเป็น
  • สิทธิถอนความยินยอม ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้เอาประกันภัยเคยให้ไว้ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้

ผู้เอาประกันภัยทั้งหมดสามารถติดต่อมายังบริษัทเพื่อขอใช้สิทธิข้างต้นได้ตามรายละเอียดการติดต่อที่บริษัทได้กำหนดไว้ และบริษัทจะพิจารณาและแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของผู้เอาประกันดังกล่าวให้ทราบภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย

10. ข้อมูลการติดต่อบริษัทในฐานะผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

บริษัทยินดีรับคำถาม ข้อร้องเรียน ความเห็น และคำขอใดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ โดยเฉพาะการใช้สิทธิในฐานะเจ้าของข้อมูลของผู้เอาประกันกลุ่มต่างๆได้ โดยสามารถติดต่อบริษัทได้ที่อีเมล dpo@jaymartinsurance.co.th หรือ ส่งไปรษณีย์มาที่ บริษัท เจมาร์ท ประกันภัย จํากัด (มหาชน) ตามที่อยู่ดังนี้ 100/100 อาคารว่องวานิช คอมเพล็กซ์ บี ชั้นที่ 29 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 โดยส่งถึง เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล