แน่นอนว่า ไม่มีใครที่อยากจะขับรถฝ่าฝน แต่หากมีความจำเป็น เช่น ออกไปข้างนอกแล้ว ต้องกลับให้ทันเวลา หรือมีกำหนดการสำคัญที่ไม่สามารถเลื่อนนัดได้ และฝนตกไม่หนักนัก ก็ยังพอจะสามารถขับรถฝ่าฝนไปได้ ซึ่ง JAYMART ประกันภัย ได้รวบรวมวิธีขับรถในขณะที่มีฝนตกมาฝากกันค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม หากฝนตกหนัก หรือ หากสามารถรอได้ ก็แนะนำให้รอฝนซาซะก่อนที่จะเดินทางต่อไปค่ะ
สำหรับเทคนิค วิธีการต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้ค่ะ
1. จับพวงมาลัย 2 มือ : พื้นฐานสำคัญของการขับรถที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะในเวลาปกติ หรือในเวลาที่ฝนตก ก็คือการจับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสอง โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตกนั้น ถนนอาจมีความลื่นมากในบางช่วง ดังนั้นควรตั้งใจที่จะจับพวงมาลัยไว้ทั้ง 2 มือ เพื่อความไม่ประมาท และเพื่อให้มั่นใจว่าจะบังคับรถได้อย่างดีในทุกกรณี
2. ปิดวิทยุ : ในช่วงเวลาฝนตก เสียงรอบรถก็จะดังขึ้น แถมบางทียังมีฟ้าร้องครืน ๆ อีกด้วย การปิดวิทยุ จะทำให้ผู้ขับขี่สามารถโฟกัสกับการขับรถได้ดีขึ้น และยังช่วยให้เราได้ยินเสียงต่าง ๆ รอบรถที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเราได้ เช่น เสียงบีบแตรของรถคันอื่น เพื่อเตือน หรือเพื่อส่งสัญญาณใด ๆ บอกเรา หรือเสียงเบรกแรงของรถคันอื่น ที่อาจไถลมาชนเราได้ เราก็จะสามารถหาทางป้องกันใด ๆ ได้ทัน
3. เปิดที่ปัดน้ำฝนระดับปานกลาง : เมื่อฝนเริ่มตก ควรเปิดที่ปัดน้ำฝนเริ่มจากระดับกลาง แล้วค่อยปรับความหน่วงตามระดับของฝนที่ตกลงมา เพื่อเคลียร์วิสัยทัศน์ ไม่ให้น้ำฝนมาขัดขวางการมองเห็นได้ ทั้งนี้ ในขณะฝนเริ่มตก หรือฝนปรอย ๆ หากมีน้ำโคลน หรือสิ่งสกปรกใด ๆ กระเด็นมาตกที่หน้ารถ ซึ่งที่ปัดน้ำฝนเพียงอย่างเดียวอาจกวาดออกไม่หมด เราก็สามารถใช้ที่ฉีดน้ำกระจกหน้ารถร่วมด้วยได้
4. เปิดไฟหน้ารถ : เมื่อฝนตก ควรเปิดไฟหน้ารถ เพื่อที่เราจะสามารถมองเห็นทางได้ชัดขึ้น และเพื่อที่รถที่สวนมาจะสามารถมองเห็นรถเราได้ชัดขึ้นตั้งแต่ระยะไกล เช่นเดียวกับรถที่ตามมาก็จะเห็นไฟท้ายรถของเรา และสามารถกะระยะห่างรถจากรถเราได้ดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปให้ใช้ไฟต่ำก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรใช้ไฟสูง เพราะแสงของไฟสูง อาจจะไปแยงตาของผู้ขับรถที่สวนมาได้
5. หลีกเลี่ยงการเปิดไฟฉุกเฉิน : ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินขณะฝนตก เพียงแค่เปิดไฟหน้าก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากการเปิดไฟฉุกเฉินนั้น จะเป็นการรบกวนสายตา และทำให้รถคันอื่นมองเห็นยากขึ้นว่า รถของเราจอดอยู่หรือวิ่งอยู่ หรืออาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่ารถของเราเสียไปซะอีก อีกทั้งยังทำให้รถคันอื่นที่ตามมาไม่สามารถรู้ได้ว่าเรากำลังเปลี่ยนช่องทาง เพราะมีไฟกระพริบทั้ง 4 มุม ไม่สามารถมองเห็นไฟเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาได้ ดังนั้นควรใช้ไฟฉุกเฉินในกรณีที่ต้องการจอดฉุกเฉินเท่านั้น
6. ลดฝ้าที่กระจก : ฝ้าที่กระจกนั้น เกิดขึ้นจากการที่อุณหภูมิภายนอกรถเย็นกว่าในรถ ดังนั้น หากต้องการลดฝ้าลง ควรแก้ไขด้วยการเปิดปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลัง และควรปรับแอร์ให้เย็นขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ภายในรถและภายนอกรถมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน
7. ขับรถช้าลง : ขณะฝนตกและถนนเปียก ควรขับรถให้ช้าลง และควรเว้นระยะจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติอีกประมาณ 10-15 เมตร เพื่อจะได้มั่นใจว่าจะเบรกได้ทัน และรถคันหลังเราก็จะสามารถเบรกได้ทันด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ จะได้ไม่ต้องโดนเศษละอองน้ำที่ดีดมาจากคันหน้า หรือหากมีสิ่งใดที่ปลิวมาบดบังวิสัยทัศน์รถของเรา จะได้เบรกรถได้ทัน
8. ตั้งสติ : เมื่อขับรถขณะฝนตก ต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ให้ระมัดระวัง คอยสังเกต คอยมอง และคอยฟังให้ดี เพราะไม่ว่าอะไรก็อาจเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นกิ่งไม้หัก พัดมา หรือของร่วงหล่นจากรถคันข้างหน้า หรือเหตุเฉพาะหน้าต่าง ๆ เราจะต้องมีสติไว้ก่อนเพื่อจะรับมือได้ดีค่ะ
9. หาที่จอด : แม้จะเร่งรีบสักเพียงใด แต่หากประเมินดูแล้ว ว่าอันตรายมีมากกว่าความปลอดภัย เช่น น้ำท่วมสูง พายุลมแรง ก็ควรหาที่จอดที่ปลอดภัยดีกว่าค่ะ เพราะความปลอดภัยของชีวิต ก็สำคัญกว่าสิ่งใด
และแม้ว่าคุณจะมีความระมัดระวังในการขับรถมากเพียงใด แต่เหตุไม่คาดคิด ก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เราจึงควรหาตัวช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับตัวเองและครอบครัว อย่างประกันภัยรถยนต์ 3+ รายเดือน ของ เจมาร์ท ประกันภัย โดยสามารถติดต่อสอบถามประกันภัยที่เหมาะสมกับคุณเพิ่มเติมได้ที่ 02 099 0555 ต่อ 4262 หรือที่ ที่ LINE : @jaymartinsurance ค่ะ
By JAYMART Content Team : RIYA