ข่าวสารและบทความ

9 ข้อควรทำ เพื่อขับรถหน้าฝนอย่างปลอดภัย

9 ข้อควรทำ เพื่อขับรถหน้าฝนอย่างปลอดภัย

     หน้าฝน โดยฉพาะเมื่อฝนตกหนัก ย่อมมีผลต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่บนท้องถนน ไม่ว่าจะเป็นจากสภาพถนน หรือทัศนวิสัยที่แย่ลง และปัจจัยอื่น ๆ ทั้งจากตัวผู้ชับขี่เองและผู้ร่วมถนน เจมาร์ท ประกันภัยจึงได้รวบรวมสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราขับรถหน้าฝนอย่างปลอดภัยมาฝากกันค่ะ 
 

1. เตรียมรถให้พร้อม : การเช็คเป็นประจำเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าฝน ไม่ว่าจะเป็น ระบบไฟส่องสว่าง ไฟสัญญาณต่าง ๆ เบรก ยางรถ ดอกยาง แรงดันลมยาง ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ควรตรวจดูยางใบปัดน้ำฝนให้มั่นใจว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เพื่อช่วยเรากำจัดสิ่งที่จะมาบดบังทัศนวิสัยของเราได้เป็นอย่างดี 
 

2. ขับรถให้ช้าลง : ควรลดระดับความเร็วลง โดยเฉพาะ 5-10 นาทีแรกเมื่อฝนเริ่มตก เพราะเป็นช่วงที่ถนนลื่นมากกว่าปกติ เนื่องจากฝนจะชะล้างคราบดิน คราบฝุ่นละอองต่าง ๆ บนพื้นถนนออกมามาก ซึ่งโดยทั่วไประดับความเร็วที่ช่วยให้รถไม่ไถลได้ จะอยู่ประมาณ 60 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และควรเว้นระยะจากรถคันหน้าให้มากกว่าปกติอีกประมาณ 10-15 เมตร เพื่อจะได้มั่นใจว่าจะเบรกได้ทัน หรือหากมีสิ่งใดที่ปลิวมาบดบังวิสัยทัศน์รถของเรา จะได้เบรกรถได้ทันเช่นกัน    
 

3. เปิดไฟหน้ารถ : เมื่อฝนตก ควรเปิดไฟหน้ารถ เพื่อที่เราจะสามารถมองเห็นทางได้ชัดขึ้น และเพื่อที่รถที่สวนมาจะสามารถมองเห็นรถเราได้ชัดขึ้นตั้งแต่ระยะไกล เช่นเดียวกับรถที่ตามมาก็จะเห็นไฟท้ายรถของเรา และกะระยะได้ถูก ซึ่งโดยทั่วไปให้ใช้ไฟต่ำก็เพียงพอแล้ว ไม่ควรใช้ไฟสูงเด็ดขาด เพราะแสงของไฟสูง อาจจะไปแยงตาของผู้ขับรถที่สวนมาได้ 
 

4. ระวังการเปิดไฟฉุกเฉิน : ควรใช้ไฟฉุกเฉินในกรณีที่ต้องการจอดฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉินขณะขับรถในระหว่างฝนตก เพราะนอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจทำให้ผู้ชับขี่คนอื่นสับสนได้อีกด้วยว่ารถของเราจอดเสียอยู่หรือวิ่งอยู่ อีกทั้งยังทำให้รถคันอื่นที่ตามมาไม่สามารถรู้ได้ว่าเรากำลังเปลี่ยนช่องทาง เพราะมีไฟกระพริบทั้ง 4 มุม ไม่สามารถมองเห็นไฟเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาได้ ดังนั้นเปิดแค่ไฟหน้าก็เพียงพอแล้ว
 

5. เปิดที่ปัดน้ำฝนระดับกลาง : เมื่อฝนเริ่มตก ควรเปิดที่ปัดน้ำฝนระดับกลางก่อน แล้วค่อยปรับความหน่วงตามระดับของฝนที่ตกลงมา เพื่อเคลียร์วิสัยทัศน์ ไม่ให้น้ำฝนมาขัดขวางการมองเห็นได้ โดยในขณะฝนเริ่มตก หรือฝนปรอย ๆ หากมีน้ำโคลน หรือสิ่งสกปรกใด ๆ กระเด็นมาตกที่หน้ารถ ซึ่งที่ปัดน้ำฝนเพียงอย่างเดียวอาจกวาดออกไม่หมด เราก็สามารถใช้ที่ฉีดน้ำกระจกหน้ารถร่วมด้วยได้ 
 

6. ลดฝ้าที่กระจก : ฝ้าที่กระจกนั้น เกิดขึ้นจากการที่อุณหภูมิภายนอกรถเย็นกว่าในรถ หากเกิดขึ้นมากก็จะยิ่งทำให้เสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการเปิดปุ่มไล่ฝ้ากระจกหลัง และการปรับแอร์ให้เย็นขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ภายในรถและภายนอกรถมีอุณหภูมิใกล้เคียงกัน   
 

7. จับพวงมาลัย 2 มือ : หลาย ๆ คนเคยชินกับการจับพวงมาลัยมือเดียว แต่จริง ๆ แล้ว พื้นฐานสำคัญของการขับรถที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะในเวลาปกติ หรือในเวลาที่ฝนตก ก็คือการจับพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองข้าง ยิ่งเป็นช่วงเวลาที่ฝนตกด้วยนั้น ถนนอาจมีความลื่นมากในบางช่วง ดังนั้นควรตั้งใจจับพวงมาลัยไว้ทั้ง 2 มือ เพื่อให้มั่นใจว่าจะบังคับรถได้อย่างดีโดยเฉพาะหากเกิดเหตุไม่คาดคิด   
 

8. ปิดวิทยุ : ในช่วงเวลาฝนตก เสียงรอบรถจะดังกว่าปกติ ทั้งเสียงฟ้าร้อง เสียงฝน การปิดวิทยุ จะทำให้ผู้ขับขี่มีสมาธิในการขับรถดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้ได้ยินเสียงต่าง ๆ รอบรถที่จะทำให้เกิดความระมัดระวังขึ้น และช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เราได้ เช่น เสียงบีบแตร เพื่อเตือน หรือเพื่อส่งสัญญาณใด ๆ หรือเสียงเบรกรถอย่างแรงของคันอื่นที่อาจไถลมาชนเราได้ เป็นต้น    
 

9. หาที่จอดปลอดภัย : กรณีที่หากขับต่อไปอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น เมื่อฝนตกหนัก มีน้ำท่วม พายุลมแรง หรือ ทัศนวิสัยแย่มาก จนไม่สามารถมองเห็นทางในระยะ 10 เมตรข้างหน้าได้ แม้ว่าจะเร่งรีบแค่ไหน ก็ควรหาที่จอดรถที่ปลอดภัยก่อนดีกว่าค่ะ ทั้งนี้ควรเลี่ยงจอดใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง เพราะอาจเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า ทำให้เกิดฟ้าผ่าได้ 


     และแม้ว่าคุณจะมีความระมัดระวังในการขับรถมากเพียงใด แต่เหตุไม่คาดคิด ก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าฝน เราจึงควรหาตัวช่วยเพิ่มความอุ่นใจให้กับตัวเองและครอบครัว อย่างประกันภัยรถยนต์คุ้มครองภัยธรรมชาติ และ ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองน้ำท่วม 3+ ของ เจมาร์ท ประกันภัย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม เพื่อค้นหาประกันภัยที่เหมาะสมกับคุณได้ที่ 02 099 0555 ต่อ 7102 7103 และ 1112 หรือที่ ที่ LINE : @jaymartinsurance ค่ะ

By Jaymart Content Team : RIYA